วันอังคารที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

หลุมดำ หลุมขาว ( Black Hole & White Hole )


พูดถึงหลุมดำ (Black holes) ใคร ๆ ก็ต้องเคยได้ยินแต่ความเข้าใจเกี่ยวกับหลุมดำนั้น มีอยู่หลายระดับ ในภาพยนตร์เรื่อง Stratrek มีการกล่าวถึงคำว่า หลุมดำ อยู่บ่อย ๆ แต่ concept อย่างเป็นทางการ(หมายถึงทางวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับ) นิยามหลุมดำว่า เป็นอาณาบริเวณในกาลอวกาศ (spacetime) ที่มี สนามโน้มถ่วงสูงมาก ๆ แม้กระทั่งแสง (อนุภาคโฟตอนซึ่งเป็นสิ่งที่เดินทาง ได้เร็วที่สุดในเอกภพ เท่าที่เรารู้จักกัน) ก็ไม่สามารถเล็ดลอดออกมาได้ ทำให้อาณาบริเวณนั้นดูเหมือนเป็นสีดำ ” แน่นอนว่าเราไม่สามารถเห็นหลุมดำ ได้โดยตรง นักฟิสิกส์แบ่งหลุมดำออกเป็น ประเภท ดังนี้

image

image

1. หลุมดำมวลยิ่งยวด (Supermassive black holes)
เชื่อกันว่าหลุมดำมวลยิ่งยวดอยู่ใจกลางของควอซ่าร์ (Quasars) ซึ่งเป็นใจกลางของgalaxy ที่มีการระเบิดเกิดขึ้น และมันดูดดาวจำนวนนับพันล้านดวง รวมถึงก๊าซและฝุ่น ในอวกาศ หรือแม้กระทั่งดาวเคราะห์เข้าไป ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่าหลุมดำมวลยิ่งยวด ในปี 1994 กล้องโทรทรรศน์อวกาศ Hubble ได้ถ่ายภาพที่ถือว่าเป็นหลักฐานแห่งการค้นพบหลุมดำมวลยิ่งยวด ณ ใจกลางของ galaxy M87

image2. หลุมดำที่เกิดจากดาวที่ตายแล้ว (Stellar black holes)
หลุมดำประเภทนี้เกิดจากดาวยักษ์แดง (Red giant stars) ที่มีมวลมากกว่า เท่าของ มวลของดวงอาทิตย์ตามวิวัฒนาการของดวงดาว (Stellar evolution) ส่วนดาวที่มีมวล น้อยกว่านี้ก็จะวิวัฒนาการไปสู่ ดาวแคระขาว (white dwarfs) หรือ ดาวนิวตรอน (neutron stars) หลุมดำประเภทนี้เกิดจากการที่ดาวฤกษ์เผาผลาญพลังงานทุกอย่าง จนหมดสิ้นทำให้เกิดการยุบตัวเป็น singularity ( หมายถึงบริเวณที่เป็นอนันต์และ กฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์ต่าง ๆไม่สามารถใช้ทำนายอะไรได้ถูกต้อง) ซึ่งถือว่าเป็นจุดตรงกลางของหลุมดำ ในทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษของไอสไตน์ singularity จะเกิดขึ้นได้เมื่อดวงดาวได้ยุบตัวจนถึง รัศมีชว๊าซชิลด์ (Schwarzschild radius) หรือ เรียกว่า ขอบเขตแห่งเหตุการณ์ (Event horizon) ซึ่งเป็นขอบเขตที่ไม่มีอะไรสามารถ หลุดพ้นออกมาได้ (ยกเว้นแต่ว่าใครจะทำความเร็วได้มากกว่าความเร็วแสง แต่ความเป็นไปได้ก็ถูกจำกัดโดยทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษของไอสไตน์ที่กล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าความเร็วแสง คุณจะมีมวลเป็นอนันต์ถ้าคุณเดินทาง ด้วยความเร็วเท่าแสง) หลุมดำประเภทนี้เชื่อกันว่าอยู่ที่กระจุกดาว Cygnus X-1

image
image 3. หลุมดำจิ๋ว (Mini black holes)
เชื่อกันว่าหลุมดำพวกนี้ (ขนาดราว 10-15 เมตร) เกิดขึ้นระหว่างการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ (The Big Bang) Stephen Hawking เป็นผู้นำในการเสนอทฤษฎีเกียวกับหลุมดำจิ๋ว ราวต้นทศวรรษ 70 อีกชื่อหนึ่งของหลุมดำจิ๋วคือ หลุมดำแรกเริ่ม (Primordial black holes) ในทฤษฎีนี้ โปรตอนและปฏิโปรตอนอาจเกิดขึ้นได้ รอบ ๆ หลุมดำจิ๋ว ตามหลัก ของการสร้างและการทำลายล้างอนุภาค (Pair production and annihilation)โดยที่ถ้าตัวตัวหนึ่งตกลงไปในหลุมดำอีกตัวก็จะออกมา จากปรากฎการณ์นี้ทำให้เรารู้ว่า หลุมดำระเหยสาบสูญไป (Evaporate) และหลุมดำก็แผ่รังสีออกมา Stephen Hawking ได้สร้างทฤษฎีเกี่ยวกับการแผ่รังสีของหลุมดำที่รู้จักกันในนาม Hawking Radiation

โดยยึดหลักความไม่แน่นอนของไฮน์เซนเบอร์ก การที่หลุมดำแผ่รังสีทำให้มันมี อายุขัยที่จำกัด (หรือกล่าวว่าหลุมดำก็ตายได้) การสร้างอนุภาคในสูญญากาศต้องใช้ พลังงาน DE = 2mc2 ทำให้อายุขัยของหลุมดำDt ~ hbar /2mc2 นอกจากนี้ Hawking ได้พบด้วยว่าการแผ่รังสีของหลุมดำนั้นเป็นแบบ สเปกตรัมเชิงความร้อน (Thermal spectrum) โดยที่ T µ 1/M ( M คือมวลของหลุมดำ คือ อุณหภูมิของ หลุมดำ ) และอายุขัย (
τของหลุมดำมีความสัมพันธ์ τ µ M3 นั่นคือว่าหลุมดำจิ๋วที่มีมวล 1015 กรัม ซึ่งมีอายุขัยน้อยกว่าเอกภพได้ระเหยสาบสูญไปแล้ว สำหรับหลุมดำ ชนิดอื่นเราสามารถละทิ้งความสำคัญของการระเหยสาบสูญได้ (การระเหยสาบสูญ คือการที่ขนาดของหลุมดำลดลงจนถึงระดับขั้นของแพล๊งค์ (Planck ‘s scale) ซึ่งมีขนาดประมาณ 10-35 เมตร ซึ่งเป็นขนาดที่มนุษย์ไม่มีทางสัมผัสได้ และเป็นขั้นที่ ศึกษากันในวิชาแรงโน้มถ่วงควอนตัม หรือ Quantum gravity


image
มิชิโอะ กากุ เป็นนักฟิสิกส์และนักดาราศาสตร์ระดับนำของโลก ที่เคยเขย่ารากฐานของจักรวาลวิทยามาแล้วหลายครั้ง ตอนแรกนักฟิสิกส์ด้วยกันรับไม่ได้ กระทั่งไม่ถึงสองทศวรรษมานี้เอง จึงได้รับการยอมรับอย่างแทบเป็นเอกฉันท์ นั่นคือการคาดการณ์ทางจักรวาลวิทยาบางประการ ที่มีข้อพิสูจน์บนสมการคณิตศาสตร์ ว่าด้วยทฤษฎีใยมหัศจรรย์ และทฤษฎีแมทริกซ์(String theory / M-theory) และควอนตัม เมคานิกส์ รวมทั้งทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของไอน์สไตน์ คือ การพิสูจน์ได้ว่า จักรวาลมีมิติหลากหลาย สสารดำรงอยู่ด้วยพลังงานที่ให้ความถี่ของการสั่นสะเทือน (vibration) ในแต่ละมิติสั่นหยาบหรือละเอียดแตกต่างกัน และแตกต่างจากจักรวาลที่สั่นสะเทือนอย่างหยาบ ที่มีสี่มิติของเรา เท่าที่พิสูจน์ได้พบว่าอย่างน้อยจักรวาลมี 11 มิติ 

มิชิโอะ กากุ บอกว่า มิติที่ 11 เป็นสภาวะนิพพาน(nirvarna) ที่มีความถี่ละเอียดอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับโลกสี่มิติของเรา

มิชิโอะ กากุ พิสูจน์ได้ว่าจักรวาลมีมากมาย(multiverses) อย่างไม่มีที่สิ้นสุด โดยแต่ละจักรวาลจะมีลักษณะเหมือนฟองของเหลว- ที่ยุบๆ พองๆ - หรือให้ฟองขึ้นมาใหม่ตลอดเวลา มิชิโอะบอกว่าจักรวาลถัดไปอาจอยู่ห่างเพียงหนึ่งมิลลิเมตรจากผิว(brane) จักรวาลของเรา แต่รับรู้ไม่ได้เพราะมันอยู่เหนือมิติ(สี่มิติ) ของเรา
image image
มิชิโอะยังบอกว่า ทุกวันนี้ นักฟิสิกส์ส่วนหนึ่งเชื่อว่า การเกิดใหม่ของจักรวาลนั้น มีความเป็นไปได้หลายทาง ทางแรก จักรวาล(สี่มิติเช่นจักรวาลของเรา) จะเกิดใหม่หลังจากหนึ่งล้านล้านปีนับจากวันนี้ โดยสิ้นสุดลงด้วยความเย็นเยือก(big freeze) ไร้พลังงาน ขณะเดียวกันพลังงานมืด(dark energy) ที่ได้จากการยุบตัวเองลงมาของสสารมืด(dark matter) จะรวมเป็นหลุมดำที่ต่อเนื่องกับหลุมขาว - เพื่อจะให้บิ๊กแบ็งใหม่ - เรื่อยไป หรืออีกเส้นทางหนึ่ง หลุมดำที่อยู่ใจกลางของทุกๆ กาแล็กซี่จะรวมเข้าด้วยกันทำให้จักรวาลหดตัวลงมา(big crunch) เป็นหลุมขาว



บางส่วนเรื่องหลุมขาว จาก link  .... สรุปว่าตอนนี้หลุมขาวยังไม่มีข้อมูลอะไรเท่าไหร่
บางที่บอก ปลายทางหลุมดำ อาจไปเจอหลุมขาว...


Credit: raktak.board.ob.tc/-View.php?N=77


____________________________________________________________________  
Black hole & White hole

image

image

image

หลุมดำ black hole

 หลุมดำโดยทฤษฏีเกิดขึ้นมาจาก "ดาวฤกษ์"  หรือดาวที่มีแสงสว่างในตัวเอง เช่น ดวงอาทิตย์ ซึ่ง เป็นก้อนก็าซร้อนๆที่ลอยเคว้งคว้างอยู่ในอวกาศ โดยมีไฮโดรเจนและฮีเลียมเป็นองค์ประกอบหลัก  พลังงานที่เราได้รับจากดวงอาทิตย์นั้น เกิดจากปฏิกริยานิวเคลียร์ที่ในแกนกลางของดาวและปฏิกริยานิวเคลียร์ที่ว่านี้นอกจากจะให้แสงสว่างแล้ว ยังทำให้เกิดแรงดันมหาศาลจากภายในดาวซึ่งจะทำหน้าที่พยุงไม่ให้ดาวทั้งดวงเกิดการยุบตัวลง  สาเหตุที่ดาวต้องยุบตัวเพราะว่าตามธรรมชาติแล้ววัตถุทุกชนิดจะมีแรงดึงดูดระหว่างกัน แรงดึงดูดนี้ขึ้นกับมวลของวัตถุนั้นๆ ยิ่งมีมวลมากแรงก็จะยิ่งมาก ดวงดาวต่างๆที่เราเห็นบนท้องฟ้านั้น มีมวลมากมายมหาศาล แต่ละอนูแต่ละโมเลกุลของมันก็จะดึงดูดกันและกัน ตามกฏแรงดึงดูดระหว่างมวลของนิวตัน แรงดึงดูดที่ว่านี้มีความแรงมหาศาล หากว่าไม่มีแรงต้านจากปฎิกริยานิวเคลียร์แล้วดาวทั้งดวง ย่อมยุบตัวลงเหลือขนาดนิดเดียว แต่กลับมีแรงดึงดูดมหาศาล เรียกว่าหลุมดำ

หลุมดำตามทฤษฏีแล้วมีหลายทฤษฏีมาก ถ้าผมเอามาพูดทั้งหมดก็คงเยอะเกินไป แต่จะข้อยกแค่ทฤษฏีที่คิดว่าใกล้เคียงกับในหนังมากที่สุด นั้นก็คือ ทฤษฏีของ ลีโอนาร์ด ซัสคินด์  

ลีโอนาร์ด ซัสคินด์ บอกว่า เมื่อหลุมดำดูดวัตถุอะไรเข้าไปแล้ว จะไม่ได้โดนทำลาย แต่จะติดอยู่ในกาลเวลาตรงเส้นขอบฟ้าเหตการณ์ และ กระจายข้อมูลของสิ่งที่ตกลงไปในหลุมดำออกมา เป็นแสงที่เรียกว่า แสงฮอว์คิง (ตั้งชื่อจาก สตีเฟน ฮอว์คิง ผู้ค้นพบแสงฮอว์คิง )    
    
        ปล.ที่หยิบของ ลีโอนาร์ด ซัสคินด์มา เพราะจากหนัง พระเอกได้ติดอยู่ในกาละเวลาของมิติอื่น โดนการบิดเบี้ยวของ space time 

ภาพวีดีโอหลุมดำดูดกลืนดวงดาว
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
ลำแสงรอบๆหลุมดำที่เห็นในหนังคือลำแสง ฮอว์คิง


ตำแหน่งเส้นขอบฟ้าเหตุการณ์ และ singularity 

รูหนอน หรือ worm hole

 รูหนอนหรือที่เราเห็นในหนังไซไฟหลายๆเรื่อง ที่ใช้เดินทางข้ามดวงดาว  หรือข้ามเวลานั้นเอง  หนังเก่าๆหลายๆเรื่องส่วนใหญ่สื่อ wormhole ออกมาเป็นแบบ2มิติ คือมีลักษณะคล้ายอุโมงค์มิติ เข้าไป แล้วไปออกที่ทางออกอีกอุโมงค์นึง (เหมือนประตูโดเรม่อน)   แต่หนังเรื่องนี้สื่อออกมาให้รูปแบบมิติที่3 ที่ใช้การบิดงอ Space time จนทางเข้าชนกับทางออก จึงมีรูปร่างเป็นทรงกลม    ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ตั้งทฤษฏีของรู้หนอนไว้เยอะมาก 
         แต่สรุปให้เข้าใจง่ายๆว่า   เหมือนมีมดตัวนึงเดินอยู่ตรงมุมล่างของกระดาษ  มันอยากเดินไปตรงมุมบนของกระดาษ สำหรับมันไกลมาก   แต่ถ้าเราช่วยมัน โดนพับกระดาษให้มุมบนมาชนมุมล่าง มันก็จะเดินข้ามไปมุมบนกระดาษได้เลย   ตัวอย่างนี้ถ้ามองในภาพใหญ่  เราที่พับกระดาษให้มด ก็เหมือนคนที่สร้างรูหนอนขึ้นมาในหนัง แล้วตั้งไว้ให้ยานเข้าไป  ซึ่งเราไม่รู้หรอกว่าใครตั้งไว้  ก็เหมือนมดก็ไม่รู้เช่นกันว่าใครพับกระดาษให้มัน  สำหรับมด เราก็เหมือนอยู่มิติที่สูงกว่ามัน   แล้วกระดาษก็แทน Space time  เมื่อเราพับกระดาษ ก็เปรียบเสมียนเวลาได้บิดเบี้ยว เช่นเดียวกับกระดาษ 

สู่จักรวาลอันกว้างใหญ่กับภาพถ่ายอวกาศจาก "ฮับเบิล"

ออกไปจากโลกแคบๆ สู่จักรวาลอันกว้างใหญ่กับ "ฮับเบิล" ด้วยส่วนหนึ่งของภาพถ่ายจากดวงตาอวกาศของมนุษยชาติ ซึ่งทำหน้าที่มาครบ 20 ปีแล้ว
สู่จักรวาลอันกว้างใหญ่กับภาพถ่ายอวกาศจาก ฮับเบิล
ภาพ "หุบเขาลึกลับ" (Mystic Mountain) ซึ่งเป็นบริเวณที่มีดาวเกิดใหม่ในเนบิวลากระดูกงูเรือและเป็นหนึ่งในภาพที่นาซานำมาฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปีกล้องฮับเบิล (NASA/ESA)
       
สู่จักรวาลอันกว้างใหญ่กับภาพถ่ายอวกาศจาก ฮับเบิล
ภาพ "หุบเขาลึกลับ" (Mystic Mountain) ซึ่งเป็นบริเวณที่มีดาวเกิดใหม่ในเนบิวลากระดูกงูเรือและเป็นหนึ่งในภาพที่นาซานำมาฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 20 ปีกล้องฮับเบิล โดยภาพซ้ายบันทึกในย่านแสงที่ตามองเห็น และภาพขวาเป็นภาพที่บันทึกในย่านรังสีอินฟราเรด (NASA/ESA)
       
สู่จักรวาลอันกว้างใหญ่กับภาพถ่ายอวกาศจาก ฮับเบิล
ฮับเบิลบันทึกภาพกาแลกซี NGC 2207 (ซ้าย) กำลังชนกับกาแลกซี IC 2163 (นาซา)
       
สู่จักรวาลอันกว้างใหญ่กับภาพถ่ายอวกาศจาก ฮับเบิล
พลวัตของแสงออโรราบนขั้วใต้ดาวเสาร์ (นาซา/อีซา)
       
สู่จักรวาลอันกว้างใหญ่กับภาพถ่ายอวกาศจาก ฮับเบิล
ฝุ่นรอบๆ ดาวยักษ์ วี838 โมโนเซโรทิส (V838 Monocerotis) ในกลุ่มดาวยูนิคอร์น (นาซา)
       
สู่จักรวาลอันกว้างใหญ่กับภาพถ่ายอวกาศจาก ฮับเบิล
ฮับเบิลจับภาพเงาดวงจันทร์ 3 ดวงพาดทับบนดาวพฤหัสบดี (นาซา/อีซา)
       
สู่จักรวาลอันกว้างใหญ่กับภาพถ่ายอวกาศจาก ฮับเบิล
ปรากฏการณ์ "เลนส์โน้มถ่วง" (Gravitational lens) ในกลุ่มคลัสเตอร์กาแลกซีเอเบลล์ 2217 (ABell 2218) ที่ฮับเบิลบันทึกไว้ (นาซา/อีซา)
       
สู่จักรวาลอันกว้างใหญ่กับภาพถ่ายอวกาศจาก ฮับเบิล
เนบิวลาฟองสบู่ เอ็นจีซี 7635 (NGC 7635)
       
สู่จักรวาลอันกว้างใหญ่กับภาพถ่ายอวกาศจาก ฮับเบิล
ดาวแคระขาวในทางช้างเผือก (นาซา)
       
สู่จักรวาลอันกว้างใหญ่กับภาพถ่ายอวกาศจาก ฮับเบิล
ภาพกาแลกซี "เอ็ม 100" (M100) - นาซา
       
สู่จักรวาลอันกว้างใหญ่กับภาพถ่ายอวกาศจาก ฮับเบิล
เศษซากวงแหวนรอบดาวฟอมัลเฮาท์ (Fomalhaut) หรือ เอชดี 216956 (HD 216956) - นาซา
       
สู่จักรวาลอันกว้างใหญ่กับภาพถ่ายอวกาศจาก ฮับเบิล
ภาพดาวยูเรนัส พร้อมวงแหวนและดวงจันทร์บริวาร (นาซา)
       
สู่จักรวาลอันกว้างใหญ่กับภาพถ่ายอวกาศจาก ฮับเบิล
ดาวที่กำลังระเบิด ล้อมรอบด้วยไข่มุกแห่งจักรวาล (Cosmic's Pearls) 2 จุด (นาซา/อีซา)
       
สู่จักรวาลอันกว้างใหญ่กับภาพถ่ายอวกาศจาก ฮับเบิล
ภาพฝุ่นรอบๆ นิวเคลียสกาแล็กซีแบล็กอาย เอ็ม 64 (Black Eye Galaxy M64) - นาซา
       
สู่จักรวาลอันกว้างใหญ่กับภาพถ่ายอวกาศจาก ฮับเบิล
ภาพโมเสคขนาดใหญ่ของเนบิวลาปู (Crab Nebula) ที่ฮับเบิลบันทึกไว้
       
สู่จักรวาลอันกว้างใหญ่กับภาพถ่ายอวกาศจาก ฮับเบิล
ดาวพฤหัสบดี เพื่อนบ้านในระบบสุริยะของเรา (นาซา)
       
สู่จักรวาลอันกว้างใหญ่กับภาพถ่ายอวกาศจาก ฮับเบิล
เศษซากซูเปอร์โนวาแคสซิโอเปีย เอ (Cassiopeia A)
       
สู่จักรวาลอันกว้างใหญ่กับภาพถ่ายอวกาศจาก ฮับเบิล
ภาพของ แอนดรูว์ ฟูสเทล (Andrew Feustel) สะท้อนบนหมวกนิรภัยของ จอห์น กรันฟิล์ด (John Grunsfeld) ขณะที่มนุษย์อวกาศทั้งปฏิบัติภารกิจซ่อมแซมฮับเบิลครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2009
       
สู่จักรวาลอันกว้างใหญ่กับภาพถ่ายอวกาศจาก ฮับเบิล
ภาพด้านของกล้องฮับเบิลซึ่งโคจรอยู่เหนือพื้นโลก บันทึกโดยลูกเรือแอตแลติส (Atlantis) หลังจากขึ้นไปซ่อมบำรุงครั้งสุดท้ายเมื่อปี 2009 (นาซา)